การขัดผิวและการผลัดเซลล์ผิวหนัง
การผลัดเซลล์ผิวและการขัดผิวไม่ว่าจะเป็นการใช้สครับ เอ็กซ์โฟลิเอเตอร์ หรือพีลลิ่ง เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการดูแลรักษาผิว และการสปาผิวหน้า เพราะเมื่อเราอายุมากขึ้น การผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติของผิวหนังจะล่าช้าลง จึงก่อให้เกิดการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวหนัง การผลัดเซลล์ผิวโดยการใช้สครับ เอ็กซ์โฟลิเอเตอร์ หรือพีลลิ่งจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วเหล่านั้นให้หลุดลอกออกไป เมื่อเซลล์ผิวที่ตายแล้วถูกกำจัดออกไป ครีมบำรุงผิวก็จะสามารถซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นการการผลัดเซลล์ผิวจึงช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่ง แลดูสดชื่นและอ่อนเยาว์ นอกจากนี้การผลัดเซลล์ผิวยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวมัน สิว สิวอุดตัน สิวเสี้ยน และรูขุมขนกว้าง เนื่องจากมีส่วนช่วยในการทำความสะอาดรูขุมขนและกำจัดน้ำมันส่วนเกินที่ผิวหนังผลิตขึ้น
สิ่งสำคัญในการผลัดเซลล์ผิว คือการเลือกวิธีการผลัดเซลล์ผิวที่เหมาะสมกับสภาพผิวหนังและปัญหาผิวพรรณของเรา โดยการผลัดเซลล์ผิวแบ่งออกเป็น 2 วิธีคือ
การผลัดเซลล์ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นกายภาพ
การผลัดเซลล์ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นกายภาพคือ การใช้สครับที่มีส่วนผสมของเม็ดสครับ หรือการใช้ฟองน้ำ แปรง และผ้าที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับผิวโดยเฉพาะ เราสามารถนำสิ่งของดังกล่าวมาลูบไล้บนผิวหน้าเพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกอื่นๆให้หลุดออกไป การใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิวนอกจากจะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดหากเราลูบไล้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นแนววงกลมบนผิวหนัง อย่างไรก็ตามการใช้ผลิตภัณฑ์สครับผิวจะช่วยกำจัดเฉพาะสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนผิวหนังชั้นบน นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองหากเราสครับไม่ถูกวิธี ดังนั้นคนที่มีผิวแห้งหรือผิวที่เป็นสิวได้ง่ายควรที่จะหลีกเลี่ยงการสครับผิวด้วยวิธีนี้
การผลัดเซลล์ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเคมี
การผลัดเซลล์ผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเคมี โดยการใช้เอ็กซ์โฟลิเอเตอร์หรือพีลลิ่ง จะช่วยสลายการยึดเกาะของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกจากผิวหนัง โดยผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่เป็นเคมีมีส่วนผสมหลักอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
– เอเอชเอ (AHAs หรือ Alpha Hydroxy Acids) คือสารเคมีที่สามารถละลายได้ในน้ำและไม่สามารถผ่านทะลุเกราะป้องกันผิวหนัง โดยเอเอชเอสามารถถูกพบได้ในรูปแบบของกรดไกลโคลิก (glycolic), กรดมาลิก (malic), กรดแลคติก (lactic), กรดซิตริก (citric), และกรดทาร์ทาริก (tartaric acids) กรดเอเอชเอเหมาะสมในการใช้ผลัดเซลล์ผิวหนังที่เป็นผิวแห้งเนื่องจากกรดดังกล่าวจะผลัดเฉพาะเซลล์ผิวด้านบนผิวหนัง จึงไม่ทำให้ผิวหน้าแห้ง ปัญหาผิวหนังที่เกิดขึ้นที่ชั้นบนสุดของผิวอย่างเช่น ผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด สีผิวไม่สม่ำเสมอ และกระจึงเหมาะสมที่จะใช้กรดเอเอชเอในการลดปัญหาดังกล่าว
– บีเอชเอ (BHAs หรือ Beta Hydroxy Acids) หรือที่รู้จักในชื่อกรดซาลิไซลิก คือสารเคมีที่สามารถละลายได้ในน้ำมันและสามารถซึมลึกลงไปในผิว ทำให้สามารถสลายการยึดเกาะของน้ำมันส่วนเกินที่อุดตันรูขุมขน คุณสมบัตินี้ทำให้กรดบีเอชเอเหมาะที่จะใช้กับผิวมัน ผิวที่เป็นสิวง่าย และยังเหมาะสมในการช่วยลดปัญหาสิวเสี้ยนและสิวอุดตัน โดยการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดบีเอชเอจะก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่าการใช้กรดเอเอชเอเนื่องจากกรดบีเอชเอไม่ได้ทำงานในส่วนด้านบนของผิวหนัง ดังนั้นหากกรดเอเอชเอทำให้ผิวหนังของคุณเกิดการระคายเคือง คุณอาจจะเปลี่ยนมาทดลองใช้กรดบีเอชเอ
– ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ หรือเรตินอยด์ (Topical retinoids) อย่างเช่นเรตินเอ หรือที่รู้จักกันดีในรูปแบบเรตินอลที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า มีความสามารถในการซึมลงสู่ผิวหนังได้ลึกกว่ากรดเอเอชเอและกรดบีเอชเอ โดยเรตินอยด์ไม่เพียงแต่ช่วยในการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนผิวหนัง ยังช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว เรตินอยด์มีความสามารถในการช่วยรักษากระ สีผิวไม่สม่ำเสมอ ริ้วรอย และสิว
– เอนไซม์ที่เป็นสารสกัดจากผลไม้อย่างเช่น มะละกอ (ปาเปน) และสับปะรด (โบมีเลน) สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว
เคล็ดลับในการผลัดเซลล์ผิว
– หากคุณมีผิวแพ้ง่าย คุณควรที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อผิวแพ้ง่าย และไม่ควรผลัดผิวบ่อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์
– หากคุณมีผิวแห้ง คุณไม่ควรที่จะผลัดผิวบ่อยกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์เช่นกัน
– หากคุณมีผิวมัน หรือผิวที่เป็นสิวได้ง่าย คุณสามารถทำการผลัดเซลล์ผิวได้วันเว้นวัน
– หลังจากการผลัดเซลล์ผิวทุกครั้ง คุณควรที่จะทาครีมบำรุงผิวหรือโลชั่นบำรุงผิวตามทุกครั้ง เพราะตามปกติแล้วการผลัดเซลล์ผิวจะทำให้ผิวแห้ง
– หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวบริเวณผิวหนังรอบดวงตาซึ่งเป็นบริเวณที่บอบบาง